LEANING RECORD 5
Monday 12 Febuary 2018 (08.30-11.30
am)
Learning content & Learn more
Ø การเรียนรู้แบบสตอรี่ไลน์
วิธีสอนแบบสตอรีไลน์ เป็นวิธีที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
จะมีการผูกเรื่องแต่ละตอนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรียงลำดับเหตุการณ์ หรือที่เรียกว่า กำหนดเส้นทางเดินเรื่อง
โดยใช้คำถามหลักเป็นตัวนำ สู่การให้ผู้เรียนทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย เพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียน
ตามสภาพจริง ที่มีการบูรณาการระหว่างวิชา เพื่อเป้าหมายพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนทั้งตัว
ลักษณะเด่นของวิธีสอน
1.กำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วยการใช้คำถามหลัก
(Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้
2.เน้นการใช้กิจกรรม (Activity Based Approach) ให้สอดคล้องกับคำถามหลัก และเนื้อหาการผูกเรื่อง ซึ่งมีดังนี้
1) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนมากที่สุด
2) ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
3) ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นกระบวนการควบคู่กับความรู้
4) เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
3.เน้นให้ผู้เรียนสร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง
เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart)
และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner Empowerment) คือ
ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการ
ได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning)
4.เป็นการเรียนตามสภาพจริง (Authentic Learning) มีการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration)
5.มีเหตุการณ์ (Incidents) เกิดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ไขปัญหาและเรียนรู้
6.แต่ละเรื่อง หรือแต่ละเหตุการณ์ที่กำหนด ต้องมีการระบุสิ่งต่อไปนี้ หรือมีองค์ประกอบต่อไปนี้
1) กำหนดฉาก โดยระบุสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ
2) ตัวละคร อาจเป็นคนหรือเป็นสัตว์
3) วิถีการดำเนินชีวิตเพื่อใช้ศึกษา
4) ปัญหาที่รอการแก้ไข
บทบาทของครูและผู้เรียนเมื่อใช้วิธีสอนแบบสตอรีไลน์
บทบาทของครู
1.เป็นผู้เตรียมการ ในเรื่องต่างๆ ได้แก่
1)กรอบแนวคิดของเรื่องที่จะสอนโดยเขียนเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และกำหนดเรื่องเป็นตอนๆ
(Episode) โดยแต่ละหัวข้อเรื่องในแต่ละตอนได้จากการบูรณาการ
2)เตรียมคำถามสำคัญหรือคำถามหลัก เพื่อใช้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์และลงมือปฏิบัติ
2.เป็นผู้อำนวยความสะดวกระหว่างการเรียนการสอน เช่น
1)เป็นผู้นำเสนอ (Presenter) เช่น นำเสนอประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน
2)เป็นผู้สังเกต (Observer) สังเกตขณะผู้เรียนตอบคำถาม ถามคำถาม ปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสังเกตพฤติกรรม
อื่นๆ ของผู้เรียน
3) เป็นผู้ให้กระตุ้น (Motivator) กระตุ้นความสนใจ ผู้เรียน เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเรียนอย่างแท้จริง
4) เป็นผู้ให้การเสริมแรง (Reinforcer) เพื่อให้เพิ่มความถี่ของพฤติกรรมการเรียน
5) เป็นผู้แนะนำ (Director)
6) เป็นผู้จัดบรรยากาศ (Atmosphere Organizor) ให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีทั้งด้านกายภาพ
และด้านจิตสังคม เพื่อให้ผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข
7)เป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Reflector) ให้การวิพากย์วิจารณ์ข้อดี ข้อบกพร่อง เพื่อให้พฤติกรรมคงอยู่
หรือปรับปรุง แก้ไข พฤติกรรมการเรียน
8)เป็นผู้ประเมิน (Evaluator) ควรมีการประเมินผลเป็นระยะๆ ประเมินกระบวนการ (Process) พฤติกรรม
ระหว่างหาความรู้ (Performance) และประเมินผลงาน (Product) ซึ่งอาจเป็นองค์ความรู้ และ/หรือ ผลงาน
3.เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการ (Process Oriented) มากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อหาสาระ (Content Oriented)
4.เน้นการบูรณาการระหว่างวิชา (Integration) หรือผสมผสานระหว่างวิชาในหลักสูตร (Interdisciplinary)
5.เป็นแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้แหล่งหนึ่งที่ให้ผู้เรียนซักถาม ปรึกษาเพื่อค้นคว้าหาความรู้
6.เป็นผู้ริเริ่ม ประเด็น ปัญหา เหตุการณ์ในเรื่องราวที่จะสอน และต้องจัดกิจกรรมเพื่อจบลงด้วยความตื่นเต้น
ความพอใจ ทั้งครู ผู้เรียน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และคนในชุมนุม เป็นต้น
บทบาทของผู้เรียน
1.เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองในทุกเรื่องตามที่ครูกำหนด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
2.ดำเนินการเรียนด้วยตนเอง เพื่อให้การเรียนสนุกสนาน ตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และท้าทายอยู่ตลอดเวลา
3.มีส่วนร่วมในการเรียนทั้งร่างกาย จิตใจและการคิด ในทุกสถานการณ์ที่ครูกำหนดขึ้น อย่างเป็นธรรมชาติ
เหมือนสถานการณ์ในชีวิตจริง
4.เรียนทั้งในห้องเรียน (Class) และในสถานการณ์จริง (Reality) เพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม
5.ตอบคำถามสำคัญ หรือคำถามหลัก (Key Questions) ที่ครูกำหนดจากประสบการณ์ของตนเอง
หรือประสบการณ์ในชีวิตจริง
6.มีความกระฉับกระเฉง ว่องไว ในการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น สามารถจำ พิจารณา ทำตามคำแนะนำ
ของครูได้อย่างดี
7.ทำงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ อาจจะทำงานเดี่ยว เป็นคู่ เป็นกลุ่ม ได้ด้วยความเต็มใจและด้วยเจตคติที่ดีต่อกัน
8.มีความสามารถในการสื่อสาร เช่น ฟัง พูด อ่าน เขียน มีทักษะสังคม รวมทั้งมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อน
ในกลุ่ม เพื่อนในกลุ่มอื่นๆ และกับครู
9.เป็นผู้มีความสามารถแก้ปัญหา คิดริเริ่มสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์
10.เป็นผู้สามารถสร้างความรู้ (Construct) ด้วยตนเอง และเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ที่สามารถนำไปใช้
ในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์ของการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบสตอรีไลน์
1.เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนจำได้ถาวร (Retention) ซึ่งการเรียนแบบนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการทบทวน
ความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
2.ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการเรียน (Participate) ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม เป็นการพัฒนาทั้งตัว
3.ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามประสบการณ์ชีวิตของตน และเป็นประสบการณ์จริงในชีวิตของผู้เรียน
4.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีการเบื่อหน่าย
5.ผู้เรียนจะได้สร้างจินตนาการตามเรื่องที่กำหนด เป็นการเรียนรู้ด้านธรรมชาติ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง
วิถีชีวิต ผสมผสานกันไป อันเป็นสภาพจริงของชีวิต
6.ผู้เรียนจะได้พัฒนาความคิดระดับสูง คิดไตร่ตรอง คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิด แก้ปัญหา คิดริเริ่ม คิดสร้างสรรค์
7.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 2 คน 4 คน 6 คน รวมทั้งเพื่อนทั้งห้องเรียน ขึ้นอยู่กับลักษณะ
กิจกรรม เป็นการพัฒนาให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์
8.ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวสู่สิ่งไกลตัว เช่น เรียนตัวของเรา บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ชุมชนของเรา
ประเทศของเรา และประเทศเพื่อนบ้าน เป็นไปตามระดับสติปัญญาของผู้เรียน
9.ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างเป็นสุข สนุกสนาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ และงานที่นำไปนำเสนอต่อเพื่อนต่อชุมนุม
ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
Story Line เป็นเทคนิคการสอนอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคิดค้นและพัฒนาในสกอตแลนด์ โดย สตีพ เบล ( Steve Bell )
และ ซัลลี่ ฮัคเนส ( Sallie Harkness )
องค์ประกอบที่สำคัญของ Story Line
การสร้างเรื่องใน Story Line เป็นการดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่อง ประดุจเส้นเชือก โดยมี คำถามหลักเป็นตัว
ดำเนินการ องค์ประกอบที่สำคัญในการสอนแบบ Story Line คือ
1. ตัวละคร หมายถึงบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ผูกขึ้นมา
2. ฉาก หมายถึง การระบุลักษณะของสถานที่และสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ตามหัวเรื่อง
3. การดำเนินชีวิต หมายถึงการดำเนินชีวิตของตัวละคร ว่า ใครทำอะไรบ้าง
4. เหตุการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้น หมายถุงเหตุการที่ดำเนินชีวิตของละคร เช่น เหตุการณ์อะไรที่เป็นปกติ
เหตุการณ์อะไรที่ต้องแก้ไข เหตุการณ์อะไรที่ต้องดีใจ หรือแสดงความยินดี
ขั้นตอนการสอนแบบ Story Line
1. ศึกษาหลักสูตร เพื่อเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ ทักษะและประสบการณ์ เพื่อวางแผนในการ
กำหนดหัวเรื่อง
2. กำหนดหัวเรื่อง ควรเป็นเรื่องที่เด็ก ๆ สนใจ ช่วยขยายความรู้ของเด็ก
3. เตรียมการผูกเรื่องหรือเส้นทางการดำเนินเรื่อง
4. ตั้งคำถามหลักหรือคำถามสำคัญ ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมโยงการดำเนินเรื่องในแต่ละตอน เป็นตัวกระตุ้นผู้เรียน
หรือเปิดประเด็นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
Ø การเรียนรู้แบบวอร์ดอฟ
การศึกษาแนววอลดอร์ฟคืออะไร
นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟมีรากฐานมาจากมนุษยปรัชญา (Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ
สไตเนอร์ (Rudolf Steiner 1861-1925) ได้นำมาจัดการศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนากาย (Body) จิต (Soul) และจิตวิญญาณ (Spirit)ให้บรรลุถึง ความดี (Good) ความงาม (Beauty) ความจริง (Truth) แนวคิดของมนุษยปรัชญาที่เป็นรากฐานสำคัญในการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ เชื่อว่า เมื่อมองดูการเกิดและเติบโตของเด็กคนหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่า กาย (Body) เป็นส่วนที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ในโลก ส่วนจิตวิญญาณ (spirit) เป็นจิตเดิมแท้ของเด็กเองที่ มาจากโลกเบื้องบน และเชื่อมโยงกันด้วยวิญญาณ (Soul) พ่อแม่และครูมีส่วนช่วยให้การเชื่อมโยงนี้เป็นไปอย่างราบรื่นกลม กลืน ความสำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ จึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจ “เด็กตามธรรมชาติ” (Natural Childhood) และภาวะกึ่งฝัน (Dreamy stated) ที่มีอยู่ในวัยเด็ก การศึกษาจึงเสมือนการทำหน้าที่ปลุกให้เด็กค่อยๆตื่นขึ้นมาในโลก หาวิธีเชื่อมโยงเด็กสู่โลกที่เขาได้ลงมาเกิด ครูยังต้องใส่ใจในการเตรียมสิ่งแวดล้อม สถานที่ อาคาร ห้องเรียน บริเวณสวน ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นที่เด็กเล่น ให้เด็กสามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปในธรรมชาติได้ ตลอดจนพลังธรรมชาติของโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ครูได้นำมาประสานในกิจกรรมต่างๆในอนุบาลวอลดอร์ฟอย่างมีศิลปะ เพื่อให้เด็กได้เข้าถึงธรรมชาติอันแท้จริงของโลก และแบ่งขั้นพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
§ (0 – 7 ปี) กาย (Body) พัฒนาผ่านพลัง เจตจำนง (Will) การมุ่งมั่นลงมือทำให้สำเร็จ
§ (7 – 14 ปี) จิต (Soul) พัฒนาผ่านความรู้สึก (Feeling) เข้าถึงความงาม และศิลปะแบบต่างๆ
§ (14 – 21 ปี) จิตวิญญาณ (Spirit) พัฒนาผ่านความคิด (Thinking) การตระหนักรู้ ในคุณธรรม ความดี
ครูอนุบาลยังต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับอายุและความสามารถตามวัยของเด็ก
ให้เกิดความสม ดุลกัน เกณฑ์อายุของระดับอนุบาลวอลดอร์ฟ คือ ก่อน 7 ขวบ หรือก่อนฟันแท้จะขึ้น มนุษยปรัชญายังได้เผยภาพลักษณ์ของมนุษย์อันประกอบไปด้วย กาย 4 กาย ได้แก่ ร่างกาย กายพลังชีวิต กายความรู้สึก กายตัวตน ถึงแม้ว่ากายทั้ง 4 จะมาพร้อมกันเมื่อคนเราเกิดมาในโลก แต่ก็ค่อยๆเผยออกมาทีละกายทุกๆรอบ 7 ปี จนเด็กอายุ 21 ปี จึงมีกายทั้ง 4 ครบสมบูรณ์ หากในระหว่างนั้น มีการสนับสนุนทางการศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่เด็ก จะยิ่งเป็นประ โยชน์ต่อการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในระดับอนุบาล เป็นขั้นตอนที่กำลังสร้างร่างกายและบ่มเพาะกายพลังชีวิต การศึกษาสำหรับเด็กอนุบาล ควรส่งเสริมพลังเจตจำนง (Will) ของเด็กและการรักษาจังหวะในชีวิตประจำวัน (Rhythm of life) ของเด็กให้มีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ มนุษย์ยังรับรู้โลกผ่านสัมผัส ทั้ง 12 แต่ในระดับอนุบาล เด็กๆรับรู้ด้วยสัมผัส 4 อย่างขั้นพื้นฐาน ได้แก่
• สัมผัสรู้ที่ผิวกาย (Touch)
• สัมผัสรู้พลังชีวิต (Life)
• สัมผัสรู้การเคลื่อนไหว (Movement)
• สัมผัสรู้ความสมดุล (Balance)
ความรู้ด้านสัมผัสรู้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อครูนำไปเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมให้เด็ก
การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีลักษณะอย่างไร?
ความเข้าใจของครูผู้สอน
คอร์สเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลเด็กทุกฝ่าย มีโอกาสพัฒนาตนให้มีความรู้ความสามารถตามแนวทาง
ของมนุษยปรัชญา เข้าใจธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติวัยเด็ก
· ทักษะศิลปะของครูผู้สอน
การศึกษาแนววอลดอร์ฟฝึกฝนทักษะชีวิตโดยเฉพาะด้านศิลปะ ความเข้าใจเรื่องสี ฝึกหัดการวาดภาพระบายสี งานปั้น
งานหัตถกรรมเย็บปักถักทอ การจัดดอกไม้ ตลอดจนงานในชีวิตประวัน เช่น งานบ้าน งานครัว งานสวน ฯลฯ เพื่อขัดเกลา
ยกระดับจิตใจตนเองไปสู่ความละเอียดประณีต บรรลุสู่คุณธรรม ความดี ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อการงานและชีวิตของตนเอง ในการทำงานของครูที่เพิ่งทำงานใหม่ ยังต้องทำงานร่วมกับครูที่มีความชำนาญสักระยะ เพื่อเรียนรู้จากชีวิตการทำงานของครูรุ่นพี่ จนมีประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานได้อย่างมั่นใจในตัวเอง
· การจัดประสบการการณ์เรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยในแนววอลดอร์ฟ
หลักสูตรและกิจกรรม จัดให้มีความเชื่อมโยงกัน ทั้ง 3 มิติ คือ
o รอบปี (ฤดู เทศกาล วัฒนธรรม)
o รอบสัปดาห์ (วิถีชีวิตของคนในชุมชน สังคม ครอบครัว)
o รอบวัน (จังหวะชีวิตในหนึ่งวัน)
แนวการจัดประสบการณ์ส่งเสริมพลังเจตจำนง (Will) ของเด็ก และรักษาจังหวะในชีวิตประจำวันของเด็กให้มีความสม่ำเสมอ
(Rhythm of life) เช่น การกิน นอน เล่น ขับถ่าย ให้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับจังหวะลมหายใจเข้า-ออก
ที่มีการเข้าและคลายออก ด้วยความเข้าใจที่ว่า เด็กอยู่ในภาวะกึ่งฝัน และการศึกษาค่อยๆพาให้เด็กตื่นขึ้น จึงมีรูปแบบแตกต่าง
ไปจากศึกษาแนวอื่นๆ ทั้งการจัดห้องและการจัดกิจกรรมต่างๆ จะไม่กระตุ้นเร้าให้เด็กตื่นก่อนวัย รูปแบบการจัดการศึกษา
เป็นการบูรณาการทั้งทักษะและสาระการเรียนรู้ ไม่เน้นการสอนของครู ไม่มีการสอนรายวิชา หรือการเรียนเขียนอ่านแบบ
ชั้นประถม ทัศนะคติในใจครูคือ โลกนี้มีความดีงาม (The world is good/The world is beautiful) ครูจึงมุ่งเน้นในการ
ทำเรื่องนี้ให้ปรากฎเสียก่อน
การจัดห้องอนุบาล มีลักษณะเป็น “อนุบาลแบบบ้าน” โดยมีครูเสมือนแม่ การจัดสภาพแวดล้อมภายในเช่นเดียวกับบ้าน
หนึ่งหลังที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดให้มีความสวยงามและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิต
ประจำวัน โดยครูจะนำทักษะด้านศิลปะมาจัดห้องเรียนให้อบอุ่นน่าอยู่ เช่น นำผ้าย้อมสีธรรมชาติมาตกแต่งในห้องเรียน
จัดมุมฤดูกาลด้วยตุ๊กตาผ้าและวัสดุจากธรรมชาติ รวมทั้งอุปกรณ์และของเล่นเด็กก็มาจากวัสดุในธรรมชาติด้วย
· ธรรมชาติการเรียนรู้ในวัยเด็ก
เด็กเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบ โดยมีครูทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง (Imitation) การงานในชีวิตประจำวัน ครูจะลงมือทำงาน
ต่างๆด้วยตัวเอง ได้แก่ งานบ้าน งานครัวและงานสวน เช่น การทำความสะอาดบ้าน การปรุงอาหาร และงานฝีมือหัตถ-
กรรม งานทั้งหมดนี้มีพื้นฐานวิชาต่างๆ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา ฯลฯ ทั้งนี้ประสบการณ์ชีวิตที่ได้เรียนรู้
มีความเชื่อม โยงสอดคล้อง กับธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นและตัวเด็ก
· เล่นอย่างอิสระโดยไม่แทรกแซง (Free play) เสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ (Imagination)
เด็กจะได้เล่นอย่างเสรี ด้วยวัตถุที่มาจากธรรมชาติ ทั้งเล่นในห้องเรียน เล่นกลางแจ้ง และกิจกรรมศิลปะรูปแบบ
ต่างๆ วาดภาพ ระบายสีน้ำ ปั้น ร้องเพลง นิทาน ละครหุ่น บทกลอน และบทเพลงที่ครูร้องอย่างไพเราะ
เสมีอนการบอกกำหนดเวลา แทนออกคำสั่ง
· บทบาทครู ( 3 R ) ได้แก่
o การทำซ้ำ (Repetition) เพื่อให้เกิดมั่นคง ครูควรทำกิจกรรมการเรียนการสอนและงานบ้านต่างๆ
อย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกว่าการทำซ้ำ
o จังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของวัย
เด็ก ครูควรจัดตารางประจำวัน ตารางกิจกรรมในสัปดาห์ และเทศกาลประจำปี ให้สอดคล้องกับจังหวะที่ราบรื่นแบบลมหายใจเข้าและออก ให้ตารางของช่วงนั้นๆเหมาะสมลื่นไหล ไม่อัดแน่นหรือติดขัด หรือเรียกว่า การรักษาจังหวะ หรือ ความรู้สึกแบบท่วงทำนอง
o เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า “มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ทำให้เราอยู่ใน
โลกด้วยความรู้สึกกตัญญูและเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งยังเคารพต่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
การสอนภาษาแบบธรรมชาติคืออะไร?
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เป็นต้น
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เป็นต้น
การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีลักษณะอย่างไร?
- เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้
และร่วมมือจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กกับครู
ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรและใครร่วมรับผิดชอบบ้าง
- คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสังคม
เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนเป็นสังคมหนึ่ง
ที่ครูสร้างความรู้สึกที่ดีให้เด็กอยู่ในกลุ่มเพื่อนอย่างมีความสุข
โดยไม่มีกลุ่มเด็กเรียนเก่ง เรียนอ่อนในห้องเรียน
- สนับสนุนให้เด็กใช้ภาษาแบบองค์รวมเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นเด็กจะได้ ฟัง พูด อ่านเขียน
เพื่อสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีจุดมุ่งหมาย
มิใช่การทำแบบฝึกหัดและแยกสอนทักษะภาษา
- เด็กเรียนรู้ภาษาจากการเลียนแบบ ดังนั้น ครู
พ่อแม่ และทุกคนที่อยู่รอบตัวเด็กจึงมีความหมายต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เด็กจะเห็นผู้ใหญ่ใช้ภาษาหลายจุดมุ่งหมาย
หลายวิธีการ เพราะเป็นเครื่องมือสื่อสารของคนเรา เช่น
ฟังเพลงเพื่อความบันเทิง หรือฟังบรรยายเพื่อเก็บความรู้
การอ่านเพื่อเพลินเพลิด หรือการอ่านเพื่อเก็บความรู้ เป็นต้น
- ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่าง
และผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง ให้เด็กมีโอกาสซึมซับภาษา (immersion)
เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ภาษา
- เชื่อว่าเด็กทุกคนเรียนรู้ภาษาได้
โดยครูทราบเช่นกันว่า เด็กเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติเป็นอย่างไร
- เด็กสามารถเกิดประสบการณ์ทางภาษาได้ตลอดเวลาในวันหนึ่งๆ
ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ดังนั้น การที่เด็กมาโรงเรียน เขาได้รู้
ได้เห็นสัญลักษณ์ทางภาษารอบตัว เช่น ป้ายทะเบียนรถ ป้ายชื่อร้านค้า
เครื่องหมายจราจร เป็นต้น เด็กได้ยิน ได้ฟัง ได้สนทนาโต้ตอบ เป็นการใช้ภาษา
- เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาหรือตัวหนังสือ
ในห้องเรียนจะมีหนังสือสำหรับเด็กอย่างเพียงพอกับจำนวนเด็ก มีมุมอ่าน
มุมเขียน มุมห้องสมุด มีป้ายประกาศต่างๆ ที่ทำให้เด็กคุ้นเคยกับภาษา เช่น
ป้ายชื่อ ป้ายติดผลงาน ป้ายข่าวและเหตุการณ์ มีมุมหุ่น
มุมนิทานให้เด็กได้ใช้ภาษาพูด เล่าเรื่องราว เป็นต้น
- เด็กได้เรียนภาษาอย่างมีความสุข โดยครูจัดการเรียนการสอนที่น่าสนใจ
มีความสนุกสนาน เนื้อหาที่เรียนมีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน
- เด็กได้รับการสนับสนุนจากครูและพ่อแม่ให้อ่านหนังสือ
โดยโรงเรียนมีหนังสือให้เด็กยืมกลับบ้านไปอ่าน
- ครูจัดหาหนังสือเพิ่มเติมให้เด็กเสมอ
อาจจะหมุนเวียน เปลี่ยนสลับระหว่างห้องเรียน และได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองจัดหามาให้ยืม
การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?
- เด็กเรียนด้วยความสุข
เพราะบทเรียนเกิดจากความต้องการของแด็ก
- เด็กจะอ่านออกเขียนได้โดยวิธีธรรมชาติ
เพราะเกิดจากการคุ้นเคยกับหนังสือและมีประสบการณ์กับตัวหนังสือ
- เด็กจะมีทัศนคติที่ดีกับภาษา
เพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง เป็นการสร้างแรงจูงใจภายใน
- เด็กจะตระหนักรู้ว่า
ภาษามีความหมายในชีวิตเพราะเขาเรียนภาษาอย่างมีความหมาย
เนื่องจากเขาได้รับประสบการณ์ทางภาษาที่มีอยู่จริง เช่น ภาษาอยู่ที่จดหมาย
หนังสือพิมพ์ เสียงเพลง นิทาน ฉลากข้างกล่องใส่ขนมหรืออาหาร เป็นต้น
- เด็กจะมีบุคลิกภาพที่ดี
เพราะมั่นใจในการสื่อสาร ไม่กลัวผิด
- เด็กจะมีสังคม
เพราะการเรียนการสอนเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
- เด็กจะได้รับการส่งเสริมทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน
เพราะได้รับการส่งเสริมภาษาแบบบูรณาการ
- เด็กจะรักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือ
- สมองของเด็กได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี คือ ได้คิด เพราะได้สัมผัสสิ่งของ ทำให้กล้าม เนื้อมือของเด็กได้รับการกระตุ้น เราจะสังเกตเห็นว่าเด็กชอบใช้มือแคะ แกะ ละเลง ลูบมือตามฝาผนัง การกระทำเช่นนั้นส่งผลให้เด็กคิดไปด้วย การคิดเป็นอาหารของสมอง สมองเด็กที่ได้ รับการกระตุ้นจะเป็นเด็กฉลาด
Evaluation
Self – ตั้งใจฟังและจดบันทึกสิ่งที่ได้เพิ่มเติม
Friends – เพื่อนที่นำเสนอตั้งใจนำเสนอและรับฟังคำแนะนำที่ดีจากผู้สอน
รวมถึงเพื่อนร่วมห้องด้วย
Teacher – ให้ข้อแนะนำ
เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและเรียนรู้เพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น