วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

LEANING RECORD 3

LEANING RECORD 3
Monday 29 January 2018 (08.30-11.30 am)



Learning content & Learn more 
Ø ทบทวนเนื้อหาที่เพื่อนนำเสนอ และย้ำ ซ้ำ ทวน เนื้อหาที่ให้เมื่อคาบที่ 1และ 2 
Ø การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงต่อการทำงานของสมอง

หลักการเรียนรู้ของสมอง

  • สมองเป็นอวัยวะ พิเศษ ของร่างกาย ต้องการทั้ง อาหารกาย และ อาหารใจในสัดส่วนที่ ถูกต้อง เหมาะสม ตลอดช่วงอายุ ตั้งแต่ อยู่ในครรภ์มารดา ถึง วัยชราสมองต้องการ อาหารใจทั้งใน การเจริญเติบโต การเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้/การทำงาน ให้เต็มที่
  • สมองเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีความพร้อมครบทั้ง 3 ด้าน คือ
    1) ความพร้อมด้านอารมณ์...เด็กเล็กต้อง เปิดสมอง/limbic ก่อนทุกครั้ง 
    2) ความพร้อมด้านองค์ความรู้...ความรู้ยาก/สูง เกินสมองเด็ก 
    3) ความพร้อมด้านพัฒนาการของสมอง...สมองส่วนหน้ายังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
  • สมองเรียนรู้เต็มที่ เมื่อ สมองเปิด...limbic system เปิด วิธีการเปิดสมองทำได้หลายวิธี เช่น นั่งสมาธิ การเคลื่อนไหวประกอบบทเพลง ปรบมือเป็นจังหวะ เปิดโอกาสให้เด็กทำกิจกรรมที่ชอบ สนใจ เพลิดเพลิน สุข สนุก
  • องค์ความรู้ เดินทางเข้าสู่ สมองเด็กได้ หลายช่องทาง ในเวลาเดียวกัน...จากการ ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส และ ความสุขใจ พอใจ เช่น เด็กทารกเรียนรู้เอกลักษณ์ของตัวแม่ได้ 6 ช่องทางพร้อมๆกันขณะที่กำลังดูดนมสมองเรียนรู้ จาก ของจริงไปหา สัญลักษณ์ และ จาก ง่าย ไปหา ยาก
  • ความเข้าใจที่เกิดจากการสัมผัสตรงทางตา ทางหู ผิวสัมผัสทางกาย การเคลื่อนไหว ทางจมูก ทางลิ้น และทางใจ สมองเรียนรู้ด้วย ความเข้าใจมากกว่า ความจำ
  • การเรียนรู้โดยไม่ตั้งใจ ในทารก และเด็กเล็ก จะเป็นไปได้ง่าย รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ละเอียด ลึกซึ้ง กว้างขวาง มากกว่าเมื่อเด็กถูกบังคับให้เรียน ในเด็กเล็กช่องทางสำหรับการเรียนรู้มีเพียง 1 ช่องทาง เท่านั้น คือแบบไม่ตั้งใจ เพราะสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่บังคับให้เรียนรู้ยังเจริญเติบโต ไม่เต็มที่ .การเรียนรู้ในเด็กเล็ก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดสมอง/เปิดลิมบิก ก่อนเริ่มต้นเข้าสู่บทเรียนทุกครั้งสมองเรียนรู้ได้ 2 แบบ ..คือ ไม่ตั้งใจ เมื่อ สมองเปิด/ลิมบิกเปิด และ ตั้งใจ เมื่อถูกบังคับ โดยพ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง
  • การจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กที่ดีต้องให้เด็กได้เรียนรู้ครบทั้ง 6 ช่องทาง ถ้าไม่ได้ทั้ง 6 ช่องทาง ได้เพียง 5, 4 หรือ 3 ช่องทาง ยังดีกว่า 1 หรือ 2 passive learning คือ การเรียนรู้ที่เด็กนั่งฟังแต่ครูบรรยาย active learning คือ การเรียนรู้ที่เด็กได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ลองผิด ลองถูก...ได้พูด ได้ขีดเขียน ได้ปั้น ได้แปะ ได้เคลื่อนไหว ได้สัมผัส ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส สมองเรียนได้ดีจาก active learning มากกว่า passive learning
  • BBL คือ การสร้าง การฝึกสมอง ให้สมองเรียนรู้การแก้ปัญหาได้ถูกต้อง แม่นยำ เหมาะสม ทุกช่วงวัยของการเรียนรู้ และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในวิชาชีพได้จริง ในอนาคตการเรียนรู้การแก้ปัญหาในเด็กเล็กต้องเริ่มจากปัญหาง่ายๆ ที่เด็กเล็กคนนั้นสามารถทำได้ก่อนทุกครั้งที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ ก็มีอาหารใจเกิดขึ้น มีการหลั่งสารแห่งความสุข ...endorphin ออกมา เด็กก็จะมี พลังจิต พลังปัญญา ที่อยากจะแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อนมากยิ่งขึ้นๆ

สมองวัยอนุบาล

สมองมีระยะพัฒนาการต่างๆ กันในแต่ละวัย หลักสูตรที่เหมาะกับแต่ละวัย ต้องสอดคล้องกับความต้องการของสมองระยะนั้น
  • สมองของเด็กวัยอนุบาล ส่วนรับสัมผัส และส่วนเคลื่อนไหว กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ การจัดการเรียนรู้หรือการจัดประสบการณ์จึงเน้นเรื่องการพัฒนาระบบการเคลื่อนไหว และระบบสัมผัส ในตารางกิจกรรมจึงจัดช่วงเวลาพัฒนาการของร่างกายไว้อย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาทั้งสองระบบนี้
  • สมองของเด็กในวัยอนุบาล การติดต่อส่งผ่านข้อมูลต่างๆ ในสมองเป็นไปอย่างรวดเร็ว สมองซีกซ้าย, สมองซีกขวา, สมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว และสมองส่วนควบคุมความรู้สึก ข้อมูลนำเข้าต่างๆ จะกระตุ้นให้สมองใช้ประโยชน์จากความเร็วนี้

แนวทางจัดการเรียนรู้ตามพัฒนาการ

แนวทางพัฒนาร่างกายและการเคลื่อนไหว
  • เน้นให้เด็กฝึกเคลื่อนไหวร่างกายโดยใช้ทักษะเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ เดิน วิ่ง กระโดด คลาน ปีน โยก เด้ง
  • เน้นให้เด็กฝึกเคลื่อนไหวร่างกายพร้อมอุปกรณ์ เช่น เชือก ลูกบอล
  • เน้นให้เด็กฝึกการใช้สมดุลของร่างกาย งอตัว ยืดตัว บิดตัว
  • เน้นให้เด็กพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อละเอียด เล่นอุปกรณ์ของเล่นที่พัฒนาระบบสัมผัส เช่น ร้อยลูกปัด บล็อก
  • เน้นให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสนาม และเล่นของเล่นหรืออุปกรณ์ต่างๆ
  • เน้นให้เด็กฝึกบรรจุ เท แยกชิ้นส่วน ประกอบเข้า เล่นน้ำ เช่น เทน้ำลงภาชนะรูปทรงต่างๆ
แนวทางพัฒนาภาษา
·         พัฒนาผ่านการ
    • - อ่านให้ฟัง
    • - อ่านด้วยกัน
    • - อ่านเอง
·         เน้นให้เด็กพัฒนาทักษะการใช้คำพูดเพื่อสื่อสาร
    • - พูดแสดงความรู้สึก
    • - แสดงความคิดเห็น
    • - เล่าเรื่องราวที่พบเห็นมา
    • - เล่าสิ่งที่คิด
    • - เล่านิทาน
·         เน้นจัดกิจกรรมให้เด็กเล่นกับเรื่องราวและภาษา
    • - ต่อคำสัมผัสกลอน
    • - ท่องบทร้องเล่น
    • - เล่นกับคำที่สนุก ตลก และไม่จำเป็นต้องมีความหมาย
    • - เล่นละคร
·         เน้นให้เด็กได้ฝึกเขียนตัวหนังสือและข้อความ เมื่อเด็กพร้อม
    • - เขียนอิสระ
    • - เขียนสิ่งที่คิด
    • - เขียนคำที่อยากเขียน
    • - เขียนตามนิทานที่ชอบ
·         เน้นใช้บทเพลงและเรื่องเล่าของท้องถิ่น เป็นสิ่งกระตุ้นให้เด็กสนใจพัฒนาภาษาของตนเอง
แนวทางพัฒนาด้านศิลปะ
  • ศิลปะ คือ การคิดและจินตนาการออกมาเป็นภาพ
  • เปิดโอกาสให้สมองลองจินตนาการ ว่า ถ้าเอาสิ่งนี้รวมกับสิ่งนั้น หรือสิ่งโน้น จะเกิดอะไรขึ้น หรือ ถ้าทำแบบนี้ผลจะออกมาเป็นแบบไหน
·         ให้เด็กลองนำสิ่งที่สมองคิดอยู่ข้างใน ถ่ายทอดออกมาด้วยมือ ให้ตามองเห็นว่านี่ใช่สิ่งที่คิดหรือไม่ ถ้ามือทำงานแบบหนึ่ง ผลจะออกมาอย่างไร ผ่านการ
    • - วาด
    • - ปั้น
    • - เป่าสี
    • - ระบายสี
    • - ตัด
    • - ปะ
    • - เย็บ
    • - เรียง
    • - เท
    • - แยกออกไป
    • - ประกอบเข้า
    • - ร้อย
    • - วาง
    • - ตอก
    • - ถอดออก
·         เน้นให้เด็กได้ทำกิจกรรมศิลปะหลากหลายด้วยมือของตนเอง
    • - สร้าง จัดวาง สร้างสรรค์ ถ่ายทอดความคิดออกมาโดยใช้สื่อต่างๆ เช่น ทราย น้ำ แท่งไม้
    • - เข้าร่วมการแสดง เช่น เต้น รำ เล่นละคร เล่าเรื่อง ท่องบทกวี
    • - จัดประสบการณ์ศิลปะจากวัฒนธรรมท้องถิ่น
·         เน้นให้เวลาเพียงพอในการลองทำ และการทำซ้ำ เมื่อผ่านการลงมือทำจนเพียงพอแล้ว สมองจะเริ่มสร้างความเข้าใจโลกเบื้องต้นขึ้นมาด้วยตัวเอง
แนวทางพัฒนาอารมณ์และจิตใจ
  • สำหรับเด็กอนุบาล อารมณ์เป็นปฏิกิริยาที่เด็กแสดงออกมาเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับโลก
  • การพัฒนาอารมณ์และจิตใจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะจูงให้เกิดขึ้น การขัดเกลาอารมณ์ต้องอาศัยความประทับใจ ความดีใจ ความเสียใจ และความเห็นอกเห็นใจ ที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางเหตุการณ์
  • เน้นให้เด็กฟังนิทาน เรื่องเล่า เรื่องจริงที่น่าจดจำและสะเทือนใจ เช่น นิทานอีสป นิทานไทย นิทานจากตำนาน นิทานชาดก เรื่องตลก
  • เน้นนำเด็กเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในชุมชน เพื่อให้เด็กชื่นชมประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และตำนานของท้องถิ่น
  • เน้นให้เด็กได้เขียนภาพ ดูงานศิลปะ และท่องเที่ยว หรือชื่นชมและสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม
  • เน้นให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรมศาสนา การกุศล ประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงาม
แนวทางพัฒนากระบวนการคิด
  • เริ่มต้นที่การให้เด็กจับต้อง สัมผัส และมีประสบการณ์ตรง สมองเรียนรู้ได้ดี ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ก่อรูปเป็นวงจรการคิด
  • เน้นให้เด็กฝึกคิด การฝึกให้เด็กคิด ไม่ใช่การฝึกโดยใช้แบบฝึกหัดบนกระดาษ แต่ต้องนำเด็กเข้าสู่กระบวนการคิดโดยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลองต่างๆ เช่น ให้เด็กแสดงบทบาทสมมติ ให้เด็กทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดและตัดสินใจ
·         เน้นการลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรมอันหลากหลาย เพื่อสำรวจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้
    • - สิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
    • - สิ่งต่างๆ เคลื่อนที่อย่างไร เพราะอะไรจึงเคลื่อนที่
    • - สิ่งต่างๆ อาจจำแนกออกเป็นประเภท/กลุ่มอะไรบ้าง ตามความเข้าใจของตนเอง
    • - พัฒนาความเข้าใจเรื่องมิติโดยลองจัดกลุ่มรวมเข้า แยกออก มองวัตถุด้วยแว่นขยาย
    • - พัฒนามุมมองโดยดูภาพ 2 มิติ แผนผัง สร้างวัตถุ 3 มิติ เช่น ต่อบล็อก ปั้นดินเหนียว ดินน้ำมัน
    • - สังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    • - ฝึกพูด เขียน โดยใช้คำศัพท์ และคำนิยาม
·         เน้นฝึกให้เด็กตั้งประเด็นคำถาม และหัดใช้ความคิด รับรู้ว่าการคิดนำไปสู่การตอบคำถามที่สมองสงสัย เช่น
    • - สิ่งนี้คืออะไร
    • - มีไว้ทำไม
    • - ถ้าไม่มีจะใช้อะไรแทนได้บ้าง
    • - สิ่งนี้มาจากไหน
    • - ใครสร้างขึ้นมา
    • - สิ่งนี้ต่างกับสิ่งนั้นอย่างไร
·         เน้นฝึกให้เด็กใช้คำศัพท์ เพื่อทบทวนชุดความเข้าใจในประสบการณ์ที่ได้มา
    • - ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ
    • - ร้อน เย็น อุณหภูมิ
    • - นับ บวก ลบ

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้

สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้
  • สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ ถือเป็น ปัจจัยสำคัญยิ่งในการพัฒนาสมองเด็ก ห้องเรียน พื้นที่กลางแจ้ง พื้นที่ในร่ม ธรรมชาติแวดล้อม การประสานกันระหว่างครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
การประสานกันระหว่าง ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน
  • การจัดการเรียนรู้ตามหลัก Brain-Based Learning นี้ให้ความสำคัญกับการประสานกันระหว่าง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน
การวัดและประเมินพัฒนาการ
  • ประเมินพัฒนาการเด็กอย่างสม่ำเสมอ
  • มีแบบบันทึกการประเมินที่มีมาตรฐาน การประเมินเป็นไปเพื่อกระตุ้นพัฒนาการ
💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣💣
Ø ทบทวนมาตรฐานการศึกษาของเด็กปฐมวัย


      👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫👫
Ø อาจารย์ให้ทำงานกลุ่ม 4-5 คน เพื่อจัดทำแผนการเรียนรู้
สำหรับวันนี้ให้แยกหัวข้อต่างๆที่จะทำการสอน ในหน่วยต่างๆ
1.       หน่วยตัวฉัน
2.       หน่วยบ้านแสนรัก
3.       หน่วยใต้ร่มเงาไม้
4.       หน่วยสัมผัสทั้ง 5
5.       หน่วยผีเสื้อ
6.       หน่วยผลไม้เพื่อสุขภาพ
7.       หน่วยอาหารดีมีคุณค่า
💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧💧
Evaluation 

Self – ตั้งใจฟังและจดบันทึกสิ่งที่ได้เพิ่มเติม
Friends – เพื่อนที่นำเสนอตั้งใจนำเสนอและรับฟังคำแนะนำที่ดีจากผู้สอน รวมถึงเพื่อนร่วมห้องด้วย
Teacher – ให้ข้อแนะนำ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและเรียนรู้เพิ่มเติม


วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

LEANING RECORD 2

LEANING RECORD 2
Monday 22 January 2018 (08.30-11.30 am)

Learning content & Learn more 
 -Present งานของแต่ละกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้






กลุ่มที่ 1 พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
คุณลักษณะตามวัย
      คุณลักษณะตามวัยเป็นความสามารถตามวัยหรือพัฒนาการตามธรรมชาติเมื่อเด็กมีอายุถึงวัยนั้นๆ ผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าใจคุณลักษณะตามวัยของเด็กอายุ 3 - 5 ปี
เพื่อนำไปพิจารณาจัดประสบการณ์ให้เด็กแต่ละวัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องสังเกตเด็กแต่ละคนซึ่งมีความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อนำข้อมูลไปช่วยในการพัฒนาเด็กให้เต็มตามความสามารถและศักยภาพ พัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงอายุอาจเร็วหรือช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้และการพัฒนาจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าสังเกตพบว่าเด็กไม่มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจน ต้องพาเด็กไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เพื่อช่วยเหลือและเเก้ไข
เด็กอายุ 3 ปี 
พัฒนาการด้านร่างกาย
  • กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ได้
  • รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว
  • เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
  • เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
  • ใช้กรรไกรมือเดียวได้
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  • แสดงอารมณ์ตามความรู้สึก
  • ชอบจะทำให้ผู้ใหญ่พอใจและรับคำชม
  • กลัวการพลัดพรากจากผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
  • รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง
  • ชอบเล่นเเบบคู่ขนาน
  • เล่นสมมติได้
  • รู้จักการรอคอย
พัฒนาการด้านสติปัญญา
  • สำรวจสิ่งต่างๆที่เหมือนกันและต่างกันได้
  • บอกชื่อของตนเองได้
  • ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
  • สนทนาโต้ตอบเล่าเรื่องประโยคสั้นๆได้
  • สนใจนิทานและเรื่องราวต่างๆ
  • ร้องเพลง ท่องคำกลอน คำคล้องจองง่ายๆและแสดงเลียนเเบบท่าทางได้
  • รู้จักใช้คำถาม อะไร
  • สร้างผลงานตามความคิดของตนเองอย่างง่ายๆได้
  • อยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว
เด็กอายุ 4 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย
  • กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้
  • รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
  • เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้
  • เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
  • ตัดกระดาษตามแนวเส้นตรงได้
  • กระฉับกระเฉงไม่อยู่เฉย
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  • แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมบางสถานการณ์
  • เริ่มรู้จักชื่นชมความสามารถเเละผลงานตนเองและของผู้อื่น
  • ชอบท้าทายผู้ใหญ่
  • ต้องการให้มีคนฟังคนสนใจ
พัฒนาการด้านสังคม
  • เล่นร่วมกับคนอื่นได้
  • รอคอยตามลำดับก่อนหลัง
  • แบ่งของให้คนอื่น
  • เก็บของเล่นเข้าที่ได้
พัฒนาการด้านสติปัญญา
  • จำแนกสิ่งต่างๆด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้
  • บอกชื่อและนามสกุลของตนเองได้
  • พยายามแก้ไขด้วยตนเองหลังจากได้รับคำชี้แนะ
  • สนทนาโต้ตอบเล่าเรื่องเป็นประโยคต่อเนื่องได้
  • สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
  • รู้จักใช้คำถามว่าทำไม
เด็กอายุ 5 ปี 
พัฒนาการด้านร่างกาย
  • กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
  • รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง
  • เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
  • เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
  • ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
  • ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี
  • ยืดตัว คล่องเเคล่ว
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
  • แสดงอารมณ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เหมาะสม
  • ชื่นชมความสามารถเเละผลงานตนเองและของผู้อื่น
  • ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
  • ปฎิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง
  • เล่นและทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกับผู้อื่นได้
  • พบผู้ใหญ่รู้จักไหว้ ทำความเคารพ
  • รู้จักขอบคุณเมื่อรับของจากผู้ใหญ่
  • รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
พัฒนาการด้านสติปัญญา
  • บอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสียง รส รูปร่าง จำแนกและจัดหมวดหมู่สิ่งของได้สิ่งต่างๆด้วย ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้
  • บอกชื่อและนามสกุลและอายุของตนเองได้
  • พยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง
  • โต้ตอบเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้
  • สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นและแปลกใหม่
  • รู้จักใช้คำถามว่าทำไม อย่างไร
  • เริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม

กลุ่มที่ 2. ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย  
         เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์การ สร้างรากฐานที่ดี ทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับ เด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจาเป็น โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิด ถึง 6 ปี เป็นระยะ ที่มีความสำคัญ ช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก ด้วย เหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะ เฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่น ๆ

ชนิดของความต้องการ
1.ความต้องการของแต่ละคน (Individual Needs )
       1 ความต้องการทางอินทรีย์
       2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
1.ความต้องการที่จะรักคนอื่นและให้คนอื่นรักตน  
2.ความต้องการความปลอดภัย  
3.ความต้องการการมีส่วนร่วม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
4. ความต้องการความสัมฤทธิ์ผลหรือต้องการให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน  
5. ความต้องการรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสติปัญญา  
6. ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากสภาพที่อยู่ปกติให้เป็นสภาพใหม่
7. ความต้องการที่จะรับความพึงพอใจในทางสวยงาม
ความต้องการของเด็กปฐมวัย
§  ความต้องการพื้นฐานทางกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
§  ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
§  ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
§  ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย
§  ความต้องการมีเพื่อน เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
ความสนใจ
        ความสนใจ หมายถึง ความรู้สึกหรือเจตคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ ความรู้สึกนั้นทาให้บุคคลเอาใจใส่และกระทำการจนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่บุคคลมีต่อสิ่งนั้น
1.เกิดจากความต้องการ
2.เกิดจากการเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น
3.เกิดจากแรงจูงใจของสิ่งเร้า
4.สิ่งที่น่าสนใจเป็นสิ่งที่มีความหมาย
5.สิ่งที่น่าสนใจเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของเด็ก
6.สิ่งที่น่าสนใจเป็นสิ่งที่เด็กถนัดและมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว
ความสนใจของเด็กปฐมวัย
        สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ช่วงเวลาของความสนใจของเด็ก
ปฐมวัย  จะค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 นาที จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้ชอบที่จะเปลี่ยน
กิจกรรมอยู่ตลอดเวลา
1.ความสนใจร่วม เนื่องจากเด็กที่มีอายุระดับใกล้เคียงกัน
2.ความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ ควรเปิดโอกาสให้เด็กพบกับสิ่งใหม่ ๆ
3.เป็นสิ่งที่ดี ในขณะเดียวกัน ควรเพิ่มกิจกรรมไปจากความสนใจ
ความสนใจชั่วครู่ และความสนใจที่แตกต่างออกไปเด็กปฐมวัยมีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ
1.สนใจการเล่นและมักจะเล่นคนเดียวมากกว่าจะเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่ม
2.สนใจรูปภาพในหนังสือ ภาพที่เด็กสนใจจะต้องมีสีสดใส ชัดเจน
3.สนใจฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์
4.สนใจฟังเพลงที่มีจังหวะง่าย ๆ คำร้องสั้น ๆ
5.สนใจสิ่งรอบตัว ชอบซัก ชอบถาม


กลุ่มที่ 3 การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
        ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์  (Piaget)  ได้กล่าวถึง การเรียนรู้ของ
เด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา  (Schemata)  เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม    และสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการมี  อย่างคือ 

        1.การขยายโครงสร้าง (Assimilation)  คือ  การที่บุคคลได้รับประสบการณ์หรือรับรู้สิ่งใหม่เข้าไปผสมผสานกับความรู้เดิม 

        2. การปรับเข้าสู่โครงสร้าง (Accommodation)  คือการที่โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนำเอาความรู้ใหม่ที่ได้ปรับปรุงความคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

เพียเจท์ (Piaget) เป็นผู้นำทฤษฎีนี้เน้นที่กระบวนการและเนื้อหาของการเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา เพียเจท์ มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทาง

          เพียเจท์ (Piaget, 1965 : 35 – 37)  ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น  4  ขั้นคือ           

        1.  ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage)  อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 2 ปี  ในขั้นนี้เด็กจะรูจักใช้ประสาทสัมผัสทางปาก  หู  ตา ต่อสิ่งแวดล้อม  พฤติกรรมที่แสดงออกในรูปของการมีปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้า  ในระยะนี้จะสามารถจำได้ว่าวัตถุและเหตุการณ์บางอย่างเป็นอย่างเดียวกัน

       2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ (Pre – Operational Stage)  อายุ  2 – 7  ปี  เป็นขั้นที่เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษาพูดและเข้าใจเครื่องหมายต่าง ๆ หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว สัญลักษณ์ต่าง ๆ เด็กจะสามารถสร้างโครงสร้างทางสติปัญญาแบบง่าย  ซึ่งเป็นการคิดพื้นฐานที่อาศัยการรับรู้เป็นส่วนใหญ่  

สามารถแบ่งเป็น 2 ระยะคือ

        2.1ระยะก่อนเกิดความคิดรอบยอด เป็นขั้นที่เด็กชอบสำรวจ ตรวจสอบ จะสนใจว่าทำไมเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นและเกิดได้อย่างไร จะเริ่มใช้ภาษาและเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ และมีลักษณะต่าง ๆ คือ จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง  มองไม่เห็นวัตถุที่เหมือนกันอาจมีบางส่วนต่างกัน  เด็กจะเริ่มคิดอย่างมีเหตุผลเป็นแบบตามใจตัวเอง และจะตัดสินสิ่งต่าง ๆ ตามที่มองเห็น 

        2.2 ระยะการคิดแบบใช้ญาณหยั่งรู้ เป็นการคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่รวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงรายละเอียด  การคิดและการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปมา  และมีลักษณะคือ เข้าใจเรื่องจำนวน  เข้าใจเรื่องความคงที่ (Conservation)  เริ่มคิดได้ว่าของบางสิ่งยังคงเดิมไม่คำนึงถึงรูปร่างและจำนวนที่เปลี่ยนไป  เข้าสังคมได้มากขึ้น เลียนแบบบทบาทต่าง ๆ ส่วนพฤติกรรมยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจะลดน้อยลง

        3.ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage)  อายุ 7 – 11  ปี  เป็นขั้นที่เด็กจะสามารถใช้เหตุผลกับสิ่งที่มองเห็น  และมองความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ  ได้ดีขึ้นเพราะเด็กจะพัฒนาโครงสร้างการคิดที่จะเป็นกับความสันพันธ์ที่สลับซับซ้อน เด็กในวัยนี้จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นกับสิ่งที่เป็นนามธรรม เด็กจะเห็นสภาพแวดล้อมว่าประกอบด้วยวัตถุและเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้ว่าวัตถุที่มองเห็นจะเปลี่ยนไป            

        4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational Stage)  อายุ 11 ปีขึ้นไป  เป็นขั้นที่พัฒนาการทางความคิดของเด็กถึงขั้นสูงสุด  จะเข้าใจการใช้เหตุผลและการทดลองได้อย่างมีระบบ สามารถตั้งสมมติฐานและทฤษฎีอีกทั้งเห็นว่า ความจริงที่รู้ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่อาจเป็นไปได้  


ไวกอสกี้  (Vygotsky, อ้างถึงใน Smith, 1997 : 25) กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้  พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น  โดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ  Zone  of  proximal  development   ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง  แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน  เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้

บรูเนอร์ (Bruner, 1969 : 85) เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก
        ปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน   หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ           
1.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (Enactive stage) เริ่มตั้งแต่แรกเกิด เป็นขั้นที่เด็กจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  ด้วยการกระทำมากที่สุด มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยการสัมผัสจับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง รวมทั้งการที่เด็กใช้ปากกับวัตถุที่อยู่รอบ ๆ ตัว เพื่อให้รู้จักกับสิ่งเหล่านั้น           
2.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ (Inconic stage)  จะเริ่มตั้งแต่อายุได้ 3 ปี เป็นขั้นที่เด็กเกี่ยวข้องกับความจริงมากขึ้น และเกิดความคิดจากการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ที่ได้จากจินตนาการสนใจแสงสว่าง  เสียง  การเคลื่อนไหว  สนใจลักษณะต่าง  ๆ ของสิ่งแวดล้อมเพียงลักษณะเดียว  ใช้เหตุผลมากขึ้น           
3.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์ (Symbolic stage)  เริ่มตั้งแต่อายุ 7 – 8 ปี ขึ้น เป็นขั้นที่เด็กคิดได้อย่างอิสระโดยการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือและการแสดงออกทางความคิด สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งของ เข้าใจสัญลักษณ์  มีความเข้าใจที่กว้างขึ้น  สามารถเกิดความคิดรวบยอดในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ซับซ้อนได้            จากทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์ให้เด็กเกิดการเรียนรู้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมใกล้ตัวเด็ก โดยการทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดทักษะและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง            


องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เด็กแตกต่างกัน มี 2 องค์ประกอบใหญ่  ๆ ด้วยกัน คือ (กมลรัตน์  หล้าสุวงษ์, 2528 : 107 – 108)

        1. พันธุกรรมหรือกรรมพันธ์ (Heredity)นักจิตวิทยาที่เชื่อว่าพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดสติปัญญานั้น อธิบายว่าสติปัญญาเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด  โดยได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาทางสายโลหิตที่เรียกว่าถ่ายทอดทางจีนส์ (Genes) มีผลต่อมาจนเด็กเจริญเติบโต ดังนั้น ถ้าบรรพบุรุษมีสติปัญญาสูงหรือฉลาด ลูกหลานที่เกิดมาย่อมจะฉลาดไปด้วย เข้าตำราสุภาษิตไทยที่ว่าหนามแหลมไม่มีใครเสี้ยม ตรงกันข้ามถ้าบรรพบุรุษมีสติปัญญาต่ำหรือโง่ลูกหลานที่เกิดมาก็ย่อมจะโง่ไปด้วย

         2. สิ่งแวดล้อม (Environment)     สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางสติปัญญามีนักจิตวิทยาที่เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดสติปัญญา ส่วนใหญ่จะเป็นนักจิตวิทยาการศึกษาและนักจิตวิทยาสังคม พวกนี้จะไม่ให้ความสนใจชาติพันธุ์ หรือชาติกำเนิดของเด็ก     เท่ากับการให้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของเด็กตั้งแต่แรกเกิด เช่น การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ การเตรียมความพร้อมให้เด็กในการเรียนรู้ การให้ประสบการณ์ตรงและทางอ้อมเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา เป็นต้น



กลุ่มที่ 4 การเรียนรู้แบบโครงการ
      การสอนแบบโครงการมีลักษณะอย่างไร
            การสอนแบบโครงการเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีลักษณะสำคัญดังนี้ ความคิดพื้นฐานเชื่อว่า การเรียนรู้ของเด็กมาจากการกระทำ เด็กเป็นผู้ที่ต้องพัฒนา มีความคิด มีความมุ่งหมาย ความต้องการที่จะเรียนรู้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของตนเองต้องพึ่งตนเอง การสอนแบบโครงการมุ่งพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็กไปพร้อมกัน
วิธีจัดการเรียนการสอนมี 4 ระยะ คือ
Ø ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ
Ø ระยะที่ 2 ระยะวางแผนโครงการ เป็นช่วงเวลาที่กำหนดจุดประสงค์ว่าต้องการเรียนรู้อะไร กำหนดขอบเขตเนื้อหา ระยะเวลาและวิธีการศึกษา
Ø ระยะที่ 3 ดำเนินโครงการตามที่กำหนดไว้ ที่เน้นระบวนการแก้ปัญหา จัดเป็นหัวใจของการสอนแบบโครงการ เพราะเด็กจะได้รับข้อมูลใหม่จากประสบการณ์ตรงหรือเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานเพราะเด็กได้สนทนา พูดคุยกับบุคคล และสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้ ขณะเดียวกันเด็กสามารถค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลรอง (Secondary Sources) เช่น การดูวีดีทัศน์ การอ่านหนังสือ เป็นต้น
Ø ระยะที่ 4 สรุปโครงการ ครูและเด็กร่วมวางแผนสรุปโครงการ เป็นขั้นตอนการประเมินโครงการ ทบทวนการปฏิบัติ และวางแผนโครงการใหม่ วิธีการสรุปโครงการอาจจะให้เด็กนำผลงานที่ได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครูแล้วอภิปรายประเด็นปัญหา หรือให้เด็กนำเสนอผลงาน ในรูปของการจัดแสดง จัดเป็นนิทรรศการ หรือสาธิตผลงาน
o   มีกิจกรรมหลักในโครงการ 4 กิจกรรมคือ กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน กิจกรรมทัศนศึกษา กิจกรรมสืบค้น และกิจกรรมนำเสนอผลงาน
o   กิจกรรมสืบค้นมีหลากหลายได้แก่ การรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การสัมภาษณ์ การปฏิบัติทดลอง การรวบรวมเอกสาร การรายงาน การจัดแสดงผลงานที่ได้จากโครงการ เป็นต้น
o   เรื่องที่จะเรียนมาจากความสนใจของเด็กที่ต้องการเรียนอย่างลุ่มลึก เด็กจึงเป็นผู้วางแผนและร่วมคิด ร่วมมือสืบค้นกับผู้อื่น ครูเป็นผู้สนับสนุน สังเกตและอำนวยความสะดวก หากเรื่องนั้นมีความเป็นไปได้ มีแหล่งข้อมูลเพียงพอ พ่อแม่และชุมชนมีความพร้อมที่จะร่วมมือ
o   ทักษะการเรียนรู้หนังสือจำนวน ให้บูรณาการในหัวเรื่องโครงการ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา ดังนั้น หัวเรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจเรียนรู้นั้นต้องมีเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์และควรสำรวจที่โรงเรียนเหมาะกว่าที่บ้าน
     การสอนแบบโครงการมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?
การจัดการสอนแบบโครงการเป็นที่สนใจของนักการศึกษาจึงได้นำไปใช้และวิจัยสรุปถึงประโยชน์ที่มีต่อเด็กดังนี้
o   เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
o   ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
o   เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงานและกิจกรรมที่ทำ
o   เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก
o   เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างมีความสุข สนุกสนานเพราะเด็กได้เรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้
o   ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน
o   สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
o   สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับครูสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ


👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧

Evaluation 
Self – ตั้งใจฟังและจดบันทึกสิ่งที่ได้เพิ่มเติม Friends – เพื่อนที่นำเสนอตั้งใจนำเสนอและรับฟังคำแนะนำที่ดีจากผู้สอน รวมถึงเพื่อนร่วมห้องด้วย Teacher – ให้ข้อแนะนำ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและเรียนรู้เพิ่มเติม