LEANING RECORD 2
Monday 22 January 2018 (08.30-11.30 am)
Learning content & Learn more
-Present งานของแต่ละกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย ดังนี้

กลุ่มที่ 1 พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
คุณลักษณะตามวัย
คุณลักษณะตามวัยเป็นความสามารถตามวัยหรือพัฒนาการตามธรรมชาติเมื่อเด็กมีอายุถึงวัยนั้นๆ
ผู้สอนจำเป็นต้องทำความเข้าใจคุณลักษณะตามวัยของเด็กอายุ 3 - 5 ปี
เพื่อนำไปพิจารณาจัดประสบการณ์ให้เด็กแต่ละวัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ขณะเดียวกันก็ต้องสังเกตเด็กแต่ละคนซึ่งมีความแตกต่างระหว่างบุคคล
เพื่อนำข้อมูลไปช่วยในการพัฒนาเด็กให้เต็มตามความสามารถและศักยภาพ
พัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงอายุอาจเร็วหรือช้ากว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้และการพัฒนาจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ถ้าสังเกตพบว่าเด็กไม่มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจน ต้องพาเด็กไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์เพื่อช่วยเหลือและเเก้ไข
เด็กอายุ 3 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย
- กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ได้
- รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว
- เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
- ใช้กรรไกรมือเดียวได้
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
- แสดงอารมณ์ตามความรู้สึก
- ชอบจะทำให้ผู้ใหญ่พอใจและรับคำชม
- กลัวการพลัดพรากจากผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
- รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง
- ชอบเล่นเเบบคู่ขนาน
- เล่นสมมติได้
- รู้จักการรอคอย
พัฒนาการด้านสติปัญญา
- สำรวจสิ่งต่างๆที่เหมือนกันและต่างกันได้
- บอกชื่อของตนเองได้
- ขอความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา
- สนทนาโต้ตอบเล่าเรื่องประโยคสั้นๆได้
- สนใจนิทานและเรื่องราวต่างๆ
- ร้องเพลง ท่องคำกลอน
คำคล้องจองง่ายๆและแสดงเลียนเเบบท่าทางได้
- รู้จักใช้คำถาม อะไร
- สร้างผลงานตามความคิดของตนเองอย่างง่ายๆได้
- อยากรู้อยากเห็นทุกอย่างรอบตัว
เด็กอายุ 4 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย
- กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้
- รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสองข้าง
- เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้
- เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษตามแนวเส้นตรงได้
- กระฉับกระเฉงไม่อยู่เฉย
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
- แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมบางสถานการณ์
- เริ่มรู้จักชื่นชมความสามารถเเละผลงานตนเองและของผู้อื่น
- ชอบท้าทายผู้ใหญ่
- ต้องการให้มีคนฟังคนสนใจ
พัฒนาการด้านสังคม
- เล่นร่วมกับคนอื่นได้
- รอคอยตามลำดับก่อนหลัง
- แบ่งของให้คนอื่น
- เก็บของเล่นเข้าที่ได้
พัฒนาการด้านสติปัญญา
- จำแนกสิ่งต่างๆด้วยประสาทสัมผัสทั้ง
5 ได้
- บอกชื่อและนามสกุลของตนเองได้
- พยายามแก้ไขด้วยตนเองหลังจากได้รับคำชี้แนะ
- สนทนาโต้ตอบเล่าเรื่องเป็นประโยคต่อเนื่องได้
- สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
- รู้จักใช้คำถามว่าทำไม
เด็กอายุ 5 ปี
พัฒนาการด้านร่างกาย
- กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
- รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง
- เดินขึ้นลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว
- เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด
- ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี
- ยืดตัว คล่องเเคล่ว
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
- แสดงอารมณ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้เหมาะสม
- ชื่นชมความสามารถเเละผลงานตนเองและของผู้อื่น
- ยึดตนเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง
พัฒนาการด้านสังคม
- ปฎิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง
- เล่นและทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกับผู้อื่นได้
- พบผู้ใหญ่รู้จักไหว้ ทำความเคารพ
- รู้จักขอบคุณเมื่อรับของจากผู้ใหญ่
- รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
พัฒนาการด้านสติปัญญา
- บอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสียง
รส รูปร่าง จำแนกและจัดหมวดหมู่สิ่งของได้สิ่งต่างๆด้วย ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้
- บอกชื่อและนามสกุลและอายุของตนเองได้
- พยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง
- โต้ตอบเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้
- สร้างผลงานตามความคิดของตนเองโดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นและแปลกใหม่
- รู้จักใช้คำถามว่าทำไม อย่างไร
- เริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม
กลุ่มที่ 2.
ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นของชีวิตที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์การ
สร้างรากฐานที่ดี ทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับ เด็กในวันนี้จึงเป็นสิ่งจาเป็น
โดยเฉพาะช่วงอายุแรกเกิด ถึง 6 ปี เป็นระยะ ที่มีความสำคัญ ช่วงหนึ่งในการวางรากฐานคุณภาพชีวิตของเด็ก
ด้วย เหตุที่เด็กปฐมวัยมีธรรมชาติและลักษณะ เฉพาะที่แตกต่างไปจากบุคคลวัยอื่น ๆ
ชนิดของความต้องการ
1.ความต้องการของแต่ละคน
(Individual Needs )
1 ความต้องการทางอินทรีย์
2 ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
2
ความต้องการที่จะสร้างบุคลิกภาพ
1.ความต้องการที่จะรักคนอื่นและให้คนอื่นรักตน
2.ความต้องการความปลอดภัย
3.ความต้องการการมีส่วนร่วม หรือเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
4. ความต้องการความสัมฤทธิ์ผลหรือต้องการให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตน
5. ความต้องการรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาสติปัญญา
6. ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงจากสภาพที่อยู่ปกติให้เป็นสภาพใหม่
7. ความต้องการที่จะรับความพึงพอใจในทางสวยงาม
ความต้องการของเด็กปฐมวัย
§ ความต้องการพื้นฐานทางกาย
เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
§
ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
§
ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
§
ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย
§ ความต้องการมีเพื่อน
เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
ความสนใจ
ความสนใจ หมายถึง
ความรู้สึกหรือเจตคติของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะ
ความรู้สึกนั้นทาให้บุคคลเอาใจใส่และกระทำการจนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่บุคคลมีต่อสิ่งนั้น
1.เกิดจากความต้องการ
2.เกิดจากการเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น
3.เกิดจากแรงจูงใจของสิ่งเร้า
4.สิ่งที่น่าสนใจเป็นสิ่งที่มีความหมาย
5.สิ่งที่น่าสนใจเป็นสิ่งที่แปลกใหม่
มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของเด็ก
6.สิ่งที่น่าสนใจเป็นสิ่งที่เด็กถนัดและมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว
ความสนใจของเด็กปฐมวัย
สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจนั้น
ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้
เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้
ช่วงเวลาของความสนใจของเด็ก
ปฐมวัย จะค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 นาที
จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้ชอบที่จะเปลี่ยน
กิจกรรมอยู่ตลอดเวลา
1.ความสนใจร่วม เนื่องจากเด็กที่มีอายุระดับใกล้เคียงกัน
2.ความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ ควรเปิดโอกาสให้เด็กพบกับสิ่งใหม่ ๆ
3.เป็นสิ่งที่ดี ในขณะเดียวกัน ควรเพิ่มกิจกรรมไปจากความสนใจ
ความสนใจชั่วครู่
และความสนใจที่แตกต่างออกไปเด็กปฐมวัยมีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ
1.สนใจการเล่นและมักจะเล่นคนเดียวมากกว่าจะเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่ม
2.สนใจรูปภาพในหนังสือ ภาพที่เด็กสนใจจะต้องมีสีสดใส ชัดเจน
3.สนใจฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์
4.สนใจฟังเพลงที่มีจังหวะง่าย ๆ คำร้องสั้น ๆ
5.สนใจสิ่งรอบตัว ชอบซัก ชอบถาม
กลุ่มที่ 3
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget) ได้กล่าวถึง การเรียนรู้ของ
เด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา (Schemata) เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม
และสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการมี 2
อย่างคือ
1.การขยายโครงสร้าง
(Assimilation) คือ
การที่บุคคลได้รับประสบการณ์หรือรับรู้สิ่งใหม่เข้าไปผสมผสานกับความรู้เดิม
2. การปรับเข้าสู่โครงสร้าง
(Accommodation) คือการที่โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนำเอาความรู้ใหม่ที่ได้ปรับปรุงความคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
เพียเจท์ (Piaget) เป็นผู้นำทฤษฎีนี้เน้นที่กระบวนการและเนื้อหาของการเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา
เพียเจท์ มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทาง
เพียเจท์ (Piaget,
1965 : 35 – 37) ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้นคือ
1.
ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor
Stage) อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง
2 ปี
ในขั้นนี้เด็กจะรูจักใช้ประสาทสัมผัสทางปาก หู ตา
ต่อสิ่งแวดล้อม
พฤติกรรมที่แสดงออกในรูปของการมีปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้า
ในระยะนี้จะสามารถจำได้ว่าวัตถุและเหตุการณ์บางอย่างเป็นอย่างเดียวกัน
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
(Pre – Operational Stage) อายุ 2 – 7 ปี
เป็นขั้นที่เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษาพูดและเข้าใจเครื่องหมายต่าง ๆ
หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว สัญลักษณ์ต่าง ๆ
เด็กจะสามารถสร้างโครงสร้างทางสติปัญญาแบบง่าย
ซึ่งเป็นการคิดพื้นฐานที่อาศัยการรับรู้เป็นส่วนใหญ่
สามารถแบ่งเป็น 2 ระยะคือ
2.1ระยะก่อนเกิดความคิดรอบยอด
เป็นขั้นที่เด็กชอบสำรวจ ตรวจสอบ จะสนใจว่าทำไมเหตุการณ์ต่าง ๆ
จึงเกิดขึ้นและเกิดได้อย่างไร จะเริ่มใช้ภาษาและเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์
และมีลักษณะต่าง ๆ คือ จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
มองไม่เห็นวัตถุที่เหมือนกันอาจมีบางส่วนต่างกัน เด็กจะเริ่มคิดอย่างมีเหตุผลเป็นแบบตามใจตัวเอง
และจะตัดสินสิ่งต่าง ๆ ตามที่มองเห็น
2.2 ระยะการคิดแบบใช้ญาณหยั่งรู้
เป็นการคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่รวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงรายละเอียด
การคิดและการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับการรับรู้เป็นส่วนใหญ่
ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปมา
และมีลักษณะคือ เข้าใจเรื่องจำนวน
เข้าใจเรื่องความคงที่ (Conservation) เริ่มคิดได้ว่าของบางสิ่งยังคงเดิมไม่คำนึงถึงรูปร่างและจำนวนที่เปลี่ยนไป เข้าสังคมได้มากขึ้น เลียนแบบบทบาทต่าง ๆ
ส่วนพฤติกรรมยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจะลดน้อยลง
3.ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม
(Concrete Operational Stage) อายุ 7 – 11 ปี
เป็นขั้นที่เด็กจะสามารถใช้เหตุผลกับสิ่งที่มองเห็น และมองความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ
ได้ดีขึ้นเพราะเด็กจะพัฒนาโครงสร้างการคิดที่จะเป็นกับความสันพันธ์ที่สลับซับซ้อน
เด็กในวัยนี้จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นกับสิ่งที่เป็นนามธรรม
เด็กจะเห็นสภาพแวดล้อมว่าประกอบด้วยวัตถุและเหตุการณ์ต่าง ๆ
แม้ว่าวัตถุที่มองเห็นจะเปลี่ยนไป
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม
(Formal Operational Stage) อายุ 11 ปีขึ้นไป
เป็นขั้นที่พัฒนาการทางความคิดของเด็กถึงขั้นสูงสุด จะเข้าใจการใช้เหตุผลและการทดลองได้อย่างมีระบบ
สามารถตั้งสมมติฐานและทฤษฎีอีกทั้งเห็นว่า
ความจริงที่รู้ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่อาจเป็นไปได้
ไวกอสกี้ (Vygotsky, อ้างถึงใน Smith, 1997 : 25) กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้
พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น
โดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ Zone
of proximal development
ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน
เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
บรูเนอร์ (Bruner, 1969 : 85) เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก
ปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้
โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน
หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก
จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ
1. ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ
(Enactive stage) เริ่มตั้งแต่แรกเกิด
เป็นขั้นที่เด็กจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยการกระทำมากที่สุด
มีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยการสัมผัสจับต้องด้วยมือ ผลัก ดึง
รวมทั้งการที่เด็กใช้ปากกับวัตถุที่อยู่รอบ ๆ ตัว
เพื่อให้รู้จักกับสิ่งเหล่านั้น
2. ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ
(Inconic stage) จะเริ่มตั้งแต่อายุได้
3 ปี เป็นขั้นที่เด็กเกี่ยวข้องกับความจริงมากขึ้น
และเกิดความคิดจากการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ที่ได้จากจินตนาการสนใจแสงสว่าง เสียง
การเคลื่อนไหว สนใจลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งแวดล้อมเพียงลักษณะเดียว ใช้เหตุผลมากขึ้น
3. ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
(Symbolic stage) เริ่มตั้งแต่อายุ
7 – 8 ปี ขึ้น
เป็นขั้นที่เด็กคิดได้อย่างอิสระโดยการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือและการแสดงออกทางความคิด
สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งของ เข้าใจสัญลักษณ์ มีความเข้าใจที่กว้างขึ้น สามารถเกิดความคิดรวบยอดในสิ่งต่าง ๆ
ที่ไม่ซับซ้อนได้
จากทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า
การจัดประสบการณ์ให้เด็กเกิดการเรียนรู้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมใกล้ตัวเด็ก
โดยการทำซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดทักษะและเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เด็กแตกต่างกัน มี 2 องค์ประกอบใหญ่
ๆ ด้วยกัน คือ (กมลรัตน์
หล้าสุวงษ์, 2528 : 107 – 108)
1. พันธุกรรมหรือกรรมพันธ์
(Heredity)นักจิตวิทยาที่เชื่อว่าพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดสติปัญญานั้น
อธิบายว่าสติปัญญาเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด
โดยได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาทางสายโลหิตที่เรียกว่าถ่ายทอดทางจีนส์ (Genes)
มีผลต่อมาจนเด็กเจริญเติบโต ดังนั้น
ถ้าบรรพบุรุษมีสติปัญญาสูงหรือฉลาด ลูกหลานที่เกิดมาย่อมจะฉลาดไปด้วย เข้าตำราสุภาษิตไทยที่ว่าหนามแหลมไม่มีใครเสี้ยม
ตรงกันข้ามถ้าบรรพบุรุษมีสติปัญญาต่ำหรือโง่ลูกหลานที่เกิดมาก็ย่อมจะโง่ไปด้วย
2.
สิ่งแวดล้อม (Environment) สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางสติปัญญามีนักจิตวิทยาที่เชื่อว่าสิ่งแวดล้อมเป็นตัวกำหนดสติปัญญา
ส่วนใหญ่จะเป็นนักจิตวิทยาการศึกษาและนักจิตวิทยาสังคม
พวกนี้จะไม่ให้ความสนใจชาติพันธุ์ หรือชาติกำเนิดของเด็ก เท่ากับการให้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
ของเด็กตั้งแต่แรกเกิด เช่น การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ การเตรียมความพร้อมให้เด็กในการเรียนรู้
การให้ประสบการณ์ตรงและทางอ้อมเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา เป็นต้น
กลุ่มที่ 4 การเรียนรู้แบบโครงการ
การสอนแบบโครงการมีลักษณะอย่างไร
การสอนแบบโครงการเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีลักษณะสำคัญดังนี้
ความคิดพื้นฐานเชื่อว่า การเรียนรู้ของเด็กมาจากการกระทำ เด็กเป็นผู้ที่ต้องพัฒนา
มีความคิด มีความมุ่งหมาย
ความต้องการที่จะเรียนรู้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของตนเองต้องพึ่งตนเอง
การสอนแบบโครงการมุ่งพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็กไปพร้อมกัน
วิธีจัดการเรียนการสอนมี 4 ระยะ คือ
Ø ระยะที่ 1
เริ่มต้นโครงการ เด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ
Ø ระยะที่ 2
ระยะวางแผนโครงการ เป็นช่วงเวลาที่กำหนดจุดประสงค์ว่าต้องการเรียนรู้อะไร
กำหนดขอบเขตเนื้อหา ระยะเวลาและวิธีการศึกษา
Ø ระยะที่ 3
ดำเนินโครงการตามที่กำหนดไว้ ที่เน้นระบวนการแก้ปัญหา
จัดเป็นหัวใจของการสอนแบบโครงการ เพราะเด็กจะได้รับข้อมูลใหม่จากประสบการณ์ตรงหรือเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานเพราะเด็กได้สนทนา
พูดคุยกับบุคคล และสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้
ขณะเดียวกันเด็กสามารถค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลรอง (Secondary Sources) เช่น การดูวีดีทัศน์
การอ่านหนังสือ เป็นต้น
Ø ระยะที่ 4 สรุปโครงการ
ครูและเด็กร่วมวางแผนสรุปโครงการ เป็นขั้นตอนการประเมินโครงการ ทบทวนการปฏิบัติ
และวางแผนโครงการใหม่
วิธีการสรุปโครงการอาจจะให้เด็กนำผลงานที่ได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครูแล้วอภิปรายประเด็นปัญหา
หรือให้เด็กนำเสนอผลงาน ในรูปของการจัดแสดง จัดเป็นนิทรรศการ หรือสาธิตผลงาน
o มีกิจกรรมหลักในโครงการ 4
กิจกรรมคือ กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน กิจกรรมทัศนศึกษา
กิจกรรมสืบค้น และกิจกรรมนำเสนอผลงาน
o กิจกรรมสืบค้นมีหลากหลายได้แก่
การรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การสัมภาษณ์ การปฏิบัติทดลอง การรวบรวมเอกสาร
การรายงาน การจัดแสดงผลงานที่ได้จากโครงการ เป็นต้น
o เรื่องที่จะเรียนมาจากความสนใจของเด็กที่ต้องการเรียนอย่างลุ่มลึก
เด็กจึงเป็นผู้วางแผนและร่วมคิด ร่วมมือสืบค้นกับผู้อื่น ครูเป็นผู้สนับสนุน
สังเกตและอำนวยความสะดวก หากเรื่องนั้นมีความเป็นไปได้ มีแหล่งข้อมูลเพียงพอ
พ่อแม่และชุมชนมีความพร้อมที่จะร่วมมือ
o ทักษะการเรียนรู้หนังสือจำนวน
ให้บูรณาการในหัวเรื่องโครงการ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา ดังนั้น
หัวเรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจเรียนรู้นั้นต้องมีเวลาอย่างน้อย 1
สัปดาห์และควรสำรวจที่โรงเรียนเหมาะกว่าที่บ้าน
การสอนแบบโครงการมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?
การจัดการสอนแบบโครงการเป็นที่สนใจของนักการศึกษาจึงได้นำไปใช้และวิจัยสรุปถึงประโยชน์ที่มีต่อเด็กดังนี้
o เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง
เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
o ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
o เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงานและกิจกรรมที่ทำ
o เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร
และผู้ใหญ่ยอมรับในความต้องการของเด็ก
o เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง
อย่างมีความสุข สนุกสนานเพราะเด็กได้เรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ
รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้
o ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน
o สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
o สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว
เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่
ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับครูสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ
👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧👧
Evaluation
Self – ตั้งใจฟังและจดบันทึกสิ่งที่ได้เพิ่มเติม Friends – เพื่อนที่นำเสนอตั้งใจนำเสนอและรับฟังคำแนะนำที่ดีจากผู้สอน รวมถึงเพื่อนร่วมห้องด้วย Teacher – ให้ข้อแนะนำ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขและเรียนรู้เพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น